แนะนำ Supermicro MicroCloud ระบบแม่ข่ายประสิทธิภาพสูง สำหรับ Cloud และ ISP โดยเฉพาะ

Supermicro MicroCloud เป็นหนึ่งในรุ่นที่ได้รับความสนใจสูงสุดนับตั้งแต่เปิดตัวมา โดย MicroCloud นี้จะเป็นระบบแม่ข่ายแบบ Blade ขนาดเล็ก โดยใช้พื้นที่สูงเพียง 3U เท่านั้น แต่สามารถบรรจุ Blade Server ได้ตั้งแต่ 8 – 24 เครื่อง ซึ่งด้วยปริมาณของ Server มากขนาดนี้ในพื้นที่เพียงเท่านี้ เป็นจุดเด่นสูงสุดที่ทำให้ MicroCloud ได้รับความนิยมนั่นเอง
สำหรับการแบ่งรุ่นของ Supermicro MicroCloud นั้น จะแบ่งตามรุ่น CPU และจำนวน Server ดังนี้

1. CPU Intel E5-2600 (8 Nodes)

 
เหมาะสำหรับระบบ Cloud ที่ต้องการ RAM จำนวนมาก โดยแต่ละ Node สามารถมี CPU ได้สูงสุด 1 Socket จำนวน 8 Cores หน่วยความจำสูงสุด 128GB และ Disk SATA 3.5″ Hot Swap จำนวน 2 ลูก

2. CPU Intel E3 (8/12/24 Nodes)

เหมาะสำหรับระบบ Cloud ที่เน้นการใช้งาน CPU เป็นหลักในราคาประหยัด โดยแต่ละ Node สามารถมี CPU ได้สูงสุด 1 Socket จำนวน 4 Cores หน่วยความจำสูงสุด 32GB และ Disk SATA 3.5″ จำนวน 2 ลูก หรือ 2.5″ จำนวน 4 ลูก

3. CPU AMD Opteron 3000 (12 Nodes)

เหมาะสำหรับระบบ Cloud ที่เน้นการใช้งาน CPU โดยไม่เน้นเรื่องหน่วยความจำ โดยแต่ละ Node สามารถมี CPU AMD ได้สูงสุด 1 Socket จำนวน 8 Cores หน่วยความจำสูงสุด 32GB และ Disk SATA 3.5″ จำนวน 2 ลูก หรือ 2.5″ จำนวน 4 ลูก
โดย Software ระบบ Cloud ที่แนะนำ จะเป็นระบบที่ใช้งาน Hypervisor ตระกูล Microsoft, KVM และ Xen เป็นหลัก เนื่องจาก 3 ตระกูลนี้สนับสนุนการใช้งานร่วมกับ Hardware ที่หลากหลายกว่า และมีค่าลิขสิทธิ์ที่เหมาะสมกับการใช้งานบน Server จำนวนมากเช่นนี้
ในขณะเดียวกัน ในเมืองไทยเองก็ยังมีการประยุกต์นำ MicroCloud ไปใช้ในระบบ Render Farm เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายต่อ CPU ที่ประหยัด และยังใช้พื้นที่บนตู้ Rack น้อยอีกด้วย
สำหรับผู้ที่สนใจระบบ Supermicro MicroCloud สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ info@throughwave.co.th หรือโทร 02-210-0969 เพื่อขอคำปรึกษาจากวิศวกรได้ทันที
ที่มา www.throughwave.co.th

แนะนำ Supermicro FatTwin ระบบ Server สำหรับงาน Cluster และ Render Farm โดยเฉพาะ

Supermicro เป็นผู้ผลิต Server เฉพาะทางสำหรับงานต่างๆ มากมาย และในวันนี้ทางทีมงานเราก็จะขอแนะนำ Supermicro FatTwin ซึ่งเป็นระบบ Server ที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับงาน Cluster สำหรับการประมวลผลประสิทธิภาพสูง และ Render Farm สำหรับการประมวลผลงานทางด้านกราฟฟิคโดยเฉพาะ

1. FatTwin หน้าตาเป็นอย่างไร?

FatTwin เป็น Blade Server ขนาดสูง 4U ติดตั้งบนตู้ Rack มาตรฐานขนาด 19 นิ้วได้ โดยด้านหน้าจะมี Server ภายในบรรจุอยู่ 4 เครื่อง หรือ 8 เครื่อง แล้วแต่รุ่น ส่วนด้านหลังของ FatTwin จะเป็นระบบระบายความร้อน (Cooling System) และระบบจ่ายพลังงาน (Power Supply) ซึ่งสามารถทำงานทดแทนกันได้ (Redundant) อย่างสมบูรณ์
จุดที่แตกต่างจาก Blade Server ทั่วๆ ไปคือ FatTwin จะไม่มี Management Module แบบศูนย์กลาง เนื่องจาก Server แต่ละเครื่องจะสามารถถูกบริหารจัดการได้ผ่านทาง IPMI ซึ่งรองรับทั้งการทำ Remote KVM และ Mount Virtual Media ผ่านทาง Network ได้อยู่แล้ว รวมถึงไม่มี Switch Module อีกด้วย ทำให้การลงทุนระบบ FatTwin ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าการลงทุนเป็น Blade Server นั่นเอง

2. จุดเด่นของ FatTwin

ในแง่ของ Hardware นั้น ระบบ FatTwin มี Server ให้เลือกหลากหลาย เหมาะกับงานเฉพาะทางแต่ละแบบ เช่น

2.1 Storage Node

เป็น Node ที่สามารถใส่ Hard Drive ได้เยอะเป็นพิเศษกว่า Server ทั่วๆ ไป เช่น ติดตั้ง Hard Drive ขนาด 3.5″ ได้ 12 – 14 ลูกต่อ 1U โดยสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ Hardware RAID หรือใช้ Software RAID ตามประเภทของ Storage Software ที่จะใช้งาน เหมาะสำหรับระบบงานที่ต้องการจัดเก็บข้อมูลเป็นปริมาณมาก เช่น Storage, Video Streaming, Apache Hadoop

2.2 Front IO Node

เป็น Node ที่มี Interface ต่างๆ ทั้งหมดอยู่ด้านหน้า ไม่ว่าจะเป็น Network, IPMI, USB หรือ PCI-E เพื่อให้การเข้าไปดูแลรักษา หรือปรับแต่งการเชื่อมต่อสามารถทำได้โดยสะดวกจากด้านหน้าเครื่องทันที เหมาะสำหรับธุรกิจ Hosting และ ISP โดยเฉพาะ

2.3 GPU Node

เป็น Node ที่สามารถใส่การ์ด GPU และ MIC เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลต่างๆ ได้ โดยในแต่ละ Node สามารถใส่การ์ดเหล่านี้ได้มากถึง 3-4 การ์ดต่อพื้นที่เพียง 1U ซึ่งถือว่ามากกว่า Server ทั่วๆ ไปอยู่มาก
แต่ไม่ว่าจะเป็น Node ใดก็ตาม สิ่งที่ถือเป็นจุดเด่นที่สุดของ FatTwin เลยนั้นคือเรื่องของการประหยัดพลังงานนั่นเอง โดยจากการทดสอบการใช้งานเปรียบเทียบกับ Server รุ่นประหยัดไฟพิเศษของคู่แข่ง พบว่า Supermicro FatTwin สามารถช่วยประหยัดพลังงานได้กว่ารุ่นที่ดีที่สุดของคู่แข่งถึง 16% เลยทีเดียว

3. ใครเหมาะสมกับการเลือกใช้ FatTwin?

 
ผู้ที่เหมาะกับระบบ FatTwin คือผู้ที่ต้องการระบบที่มีคุณสมบัติดังนี้
3.1 ต้องการลงทุนใน Server เป็นจำนวนมาก โดยไม่ได้ต้องการ Switch หรือ Management แบบ Blade Server
3.2 ต้องการการใช้งาน CPU เพื่อประมวลผลแบบ 24×7
3.3 ต้องการระบบที่มีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลเยอะเป็นพิเศษ
3.4 ต้องการประหยัดพื้นที่บนตู้ Rack
3.5 ต้องการระบบที่ประหยัดไฟฟ้า
ซึ่งสรุปจากข้างต้นนี้ เรียกได้ว่างาน High Performance Computing และงาน Render Farm ทั้งหมด เมื่อเปลี่ยนมาใช้ FatTwin แทนแล้ว จะช่วยลดต้นทุนในการจัดซื้อและดูแลรักษาไปได้มากทีเดียว
สำหรับผู้ที่สนใจ Supermicro FatTwin สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ info@throughwave.co.th หรือโทร 02-210-0969 ได้ทันที
ที่มา www.throughwave.co.th