Throughwave Thailand Technology Update Blog | Switch, Wireless, Security, NAC, E-mail, Collaboration, Server, Storage, VMware and Virtualization

บทสัมภาษณ์การใช้งาน Nutanix จาก คณะแพทยศาสตร์สงขลานครินทร์

– ดาวน์โหลด Case Study –

บริษัท ทรูเวฟ (ประเทศไทย) จำกัด มีโอกาสได้สัมภาษณ์ คุณโกเมน เรืองฤทธิ์ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เกี่ยวกับความรู้สึกหลังจากใช้งานผลิตภัณฑ์ Nutanix

p456565แนะนำตัวหน่อยครับ
สวัสดีครับ ผมโกเมน เรืองฤทธิ์ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์

คณะแพทยศาสตร์สงขลานครินทร์ เป็นโรงเรียนแพทย์ สังกัดมหาวิทยาลัยลงขลานครินทร์ มีภาระกิจหลักคือสร้างบุคลากรทางการแพทย์ และให้บริการทางการแพทย์ในระดับตติยภูมิ โดยมีโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาด 853 เตียง  เป็นสถานที่สำหรับฝึกนักศึกษาแพทย์ และเป็นโรงพยาบาลหลักที่พึ่งของประชาชนในภาคใต้

ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ มีการพัฒนาระบบสารสนเทศโรงพยาบาล สำหรับงานบริการทางการแพทย์ด้วยบุคลากรภายใน และเลือกใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนทางด้านสารสนเทศ โดยเลือกด้วยความเหมาะสม และคุ้มค่า

ทำไมถึงสนใจ Nutanix?
ก่อนหน้านี้เคยได้ทดสอบ VDI บน solution Server + Storage พบความยุ่งยากที่จะต้องบริหารทั้ง Server และ Storage

ทำไมถึงตัดสินใจเลือก Nutanix?
Nutanix เป็น solution ที่ได้รับรางวัลจากผู้ทดสอบชั้นนำ และเป็น solution ที่ไม่ต้องมายุ่งยากกับระบบ SAN แบบเดิม ๆ การบริหารระบบสามารถทำได้บนหน้าจอเดียว  และจากการที่ได้ทดสอบการใช้งานก่อนการสั่งซื้อจริง พบว่าเป็น solution ที่ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี

นำ Nutanix ไปใช้ในงานอย่างไร?
Nutanix ได้นำมาเป็นโครงสร้างหลักสำหรับระบบ VDI เพื่อรองรับการทำงานผ่านอุปกรณ์ที่หลากหลายของผู้ใช้งาน ให้สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกและปลอดภัย ซึ่งเบื้องต้นได้ติดตั้ง license สำหรับรองรับ user ประมาณ 100 users พร้อมกัน และในอนาคตจะขยายเพิ่มขึ้น เพื่อปรับให้การทำงานของ
user จาก PC ทั่วไป มาใช้ Zero client บน VDI ซึ่งปัจจุบัน มี PC ที่ใช้งานบนระบบสารสนเทศโรงพยาบาลประมาณ 1500 เครื่อง

2014-06-03_151602

ผลลัพธ์ของการใช้งาน Nutanix เป็นอย่างไรบ้าง?
จากการตอบรับของผู้ใช้งาน รู้สึกชื่นชอบกับการที่สามารถใช้งานระบบ VDI ได้อย่างสะดวกและรวดเร็วและสำหรับผู้ดูแลระบบแล้ว ก็สามารถควบคุมการใช้งาน และปรับปรุงขยายการใช้งาน VDI บน Nutanix ได้อย่างง่ายดาย

ความรู้สึกเกี่ยวกับการให้บริการของทรูเวฟ
ทางทรูเวฟ ได้ให้การสนับสนุนทางด้านเทคนิคเป็นอย่างดี และรวดเร็ว ช่วยในการตอบโจทย์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการติดตั้ง และแนะนำ solution เพิ่มเติมได้อย่างเหมาะสมเป็นอย่างดี อีกทั้งบริการก่อนการขายที่นำอุปกรณ์ มาทดสอบใช้งาน และช่วยแนะนำตอบโจทย์ต่าง ๆ เป็นอย่างดี

สุดท้ายนี้ ทางทรูเวฟขอขอบคุณ คุณโกเมน เรืองฤทธิ์ สำหรับความไว้วางใจที่ให้กับทรูเวฟและ Nutanix ขอขอบคุณครับ

ลิ้งค์ที่เกี่ยวข้อง

– ดาวน์โหลด Case Study –

ForeScout แนะนำ 8 วิธีลดความเสี่ยงจากการใช้ Windows XP ในองค์กร

หลังจากที่ Microsoft ได้ประกาศหยุดสนับสนุน Windows XP อย่างเป็นทางการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น ก็เกิดประเด็นทางด้านการรักษาความปลอดภัยที่ Windows XP อาจส่งผลต่อองค์กรต่างๆ กันขึ้นมาอย่างมากมาย อีกทั้งจากสถิติที่ผ่านมา Microsoft Windows XP เองก็มีอัตราการถูกโจมตีสูงที่สุดเมื่อเทียบกับ Windows Client รุ่นอื่นๆ ทาง ForeScout ผู้ผลิตระบบ Next Generation Network Access Control จึงได้แนะนำนโยบายรักษาความปลอดภัย 8 ข้อเพื่อบรรเทาความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในระบบ ดังนี้

  1. สร้าง Inventory ของเครื่องลูกข่ายทั้งหมด
    ก่อนที่จะวางนโยบายใดๆ ผู้ดูแลระบบควรจะรู้จำนวนตัวเลขของ Windows XP ในระบบให้ชัดเจนเสียก่อนเป็นอันดับแรก โดยการมีระบบบริหารจัดการเครื่องลูกข่ายแบบต่างๆ ก็สามารถช่วยตรวจสอบได้บ้าง แต่ก็ยังมีข้อจำกัดสำหรับเครื่องลูกข่ายที่ไม่ได้ลง Agent Software เอาไว้ ดังนั้นการมี Network Access Control อย่าง ForeScout ช่วยตรวจตราและสร้าง Hardware/Software Inventory แบบ Real-time อีกชั้นหนึ่งจึงถือเป็นสิ่งที่สำคัญ ก่อนที่จะวางนโยบายรักษาความปลอดภัยใดๆ เพิ่มเติม
  2. กำจัด Application ที่ตกยุคไปแล้วให้หมด
    เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในระดับสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่างน้อยๆ Application ที่ใช้งานบน Windows XP ก็ควรจะถูกอัพเกรดเป็นเวอร์ชั่นล่าสุด เพื่อให้มีช่องโหว่สำหรับการโจมตีต่างๆ น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่ง ForeScout สามารถเข้าถึงข้อมูลการใช้งาน Application ต่างๆ เหล่านี้ได้ผ่านทาง Microsoft Active Directory หรือ Agent Software เพื่อตรวจสอบเวอร์ชั่นของ Application ที่ใช้งาน และบังคับให้มีการอัพเกรดได้ทันที
  3. จำกัดสิทธิ์การเข้าถึงเครือข่ายให้อยู่ในระดับต่ำที่สุดเท่าที่จำเป็น
    เพื่อลดความเสี่ยงที่เครื่อง Windows XP จะติดไวรัส เวิร์ม หรือมัลแวร์ แล้วทำการโจมตีเครื่องแม่ข่ายหรือระบบเครือข่ายอื่นๆ ทาง ForeScout ได้แนะนำให้ทำการย้ายเครื่อง Windows XP เหล่านี้ไปอยู่วง VLAN ที่ถูกสร้างมาโดยเฉพาะ และมีการตั้งนโยบายรักษาความปลอดภัย และสิทธิ์การเข้าถึงเครือข่ายเฉพาะสำหรับ Windows XP เหล่านี้ ในระหว่างที่ทำการ Migrate เครื่องเหล่านี้ให้เป็น Windows รุ่นที่ใหม่และปลอดภัยกว่า
  4. หยุดใช้งาน Internet Explorer และ Office 2003 บน Windows XP
    นอกจาก Microsoft จะหยุดสนับสนุน Windows XP แล้ว ซอฟต์แวร์ยอดนิยมอย่าง Internet Explorer ที่อัพเกรดได้ถึงเพียงเวอร์ชั่น 8 (ปัจจุบันเวอร์ชั่น 11) และ Office 2003 (ปัจจุบันเวอร์ชั่น 2013) ก็ถูกหยุดการสนับสนุนไปด้วยเช่นกัน ทำให้ซอฟต์แวร์สองตัวนี้มีช่องโหว่ทางด้านความปลอดภัยมากมาย ForeScout สามารถตรวจจับและยับยั้งการใช้งานซอฟต์แวร์เหล่านี้ได้ และแนะนำให้ใช้ Browser อื่นๆ เช่น Firefox หรือ Chrome แทน
  5. หมั่นอัพเดต Software ต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ
    ไม่ว่าจะเป็น Java, PDF Reader หรือ Anti-virus ต่างๆ เอง ต่างก็ควรจะอัพเดตให้เป็นรุ่นล่าสุดอยู่เสมอ โดย ForeScout สามารถช่วยตรวจสอบและบังคับให้ซอฟต์แวร์ทั้งหมดเหล่านี้ถูกอัพเดตล่าสุดได้อยู่ตลอดเวลา
  6. จำกัดการใช้งาน Applications, Services และ Ports บน Windows XP ให้น้อยที่สุด
    ForeScout แนะนำให้ทำการ Uninstall Software ต่างๆ ที่ไม่จำเป็นตอ่การทำงานออกไปจาก Windows XP ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ รวมถึงปิด Services ที่ไม่จำเป็นเช่น Remote Access, Remote Registry, Simple File Sharing, Telnet และอื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการถูกโจมตีลง และยับยั้งการใช้งาน USB และ CD/DVD เพื่อลดโอกาสในการติดไวรัส เวิร์ม และมัลแวร์ลง ซึ่ง ForeScout สามารถช่วยบังคับให้นโยบายรักษาความปลอดภัยเป็นไปตามทั้งหมดนี้ได้ผ่าน Microsoft AD และ Agent Software นั่นเอง
  7. เตรียมรับมือกับการโจมตี Windows XP รูปแบบใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นมาในอนาคต
    การโจมตีรูปแบบใหม่ๆ จะตามมาอย่างแน่นอน และ ForeScout เองก็จะสามารถช่วยบรรเทาความเสียหายเหล่านี้ได้ ด้วยการจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงเครือข่ายเมื่อตรวจพบการโจมตีจากเครื่องลูกข่ายที่เป็น Windows XP เหล่านี้ รวมถึงยังมี Virtual Firewall ที่สามารถป้องกันไม่ให้เครื่องภายนอกทำการโจมตีเครื่อง Windows XP ที่ถูกปกป้องโดย ForeScout อยู่ด้วย
  8. วางแผนอัพเกรด Windows XP เป็น Windows รุ่นอื่นๆ ที่ใหม่กว่า
    ถึงแม้ว่าเราจะวางแผนการรับมือกับการโจมตี Windows XP ไว้มากเพียงไร แต่ท้ายที่สุดแล้วการอัพเกรด Windows เป็นรุ่นที่ยังได้รับการสนับสนุนจากทาง Microsoft อยู่ก็ยังเป็นทางเลือกที่มีความเสี่ยงทางด้านความปลอดภัยน้อยกว่าอยู่ดี โดยอย่างน้อยๆ อาจจะเริ่มจากการย้าย Windows XP ขึ้นไปยังระบบ Virtual Desktop Infrastructure ก่อน เพื่อให้อย่างน้อยๆ เมื่อเกิดการโจมตีใดๆ ขึ้นมา ทางผู้ดูแลระบบยังสามารถ Reset หรือ Revert Snapshot เพื่อยับยั้งการติดเชื้อไวรัส เวิร์ม และมัลแวร์ออกไปได้ชั่วคราวก่อน และลดความเสียหายลงให้ต่ำที่สุดนั่นเอง

 

สำหรับผู้ที่สนใจ Solution จาก ForeScout CounterACT สำหรับสร้าง Next Generation Network Access Control เพื่อรักษาความปลอดภัยทั้งสำหรับระบบเครือข่าย, ยืนยันตัวตน, ควบคุมเครื่องลูกข่าย, ทำ BYOD และมี IPS ป้องกันการโจมตีในระบบเครือข่ายไปพร้อมๆ กัน ก็สามารถติดต่อบริษัท Throughwave Thailand เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม หรือยืมอุปกรณ์ไปทดสอบได้ทันทีที่เบอร์โทร 02-210-0969 หรืออีเมลล์มาที่ info@throughwave.co.th ได้ทันที

ที่มา: https://www.forescout.com/mitigating-windows-xp-security-risks/

เมื่อ Microsoft เลิกสนับสนุน Windows XP เราได้ผลกระทบอะไร?

เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทาง Microsoft ได้ยุติบริการสนับสนุนผลิตภัณฑ์  Windows XP ซึ่งให้บริการมานานกว่า 10 ปี ส่งผลให้มีผลกระทบต่อผู้ใช้งาน Windows XP ดังนี้

  1. ไม่มีการอัพเดทโปรแกรมเพื่อป้องกันความปลอดภัย (Security Update) หากมีช่องโหว่ใดๆถูกค้นพบหลังจากนี้ จะไม่มีการปล่อยอัพเดต Security Patch จากทาง Microsoft ซึ่งส่งผลให้อาจมี Hacker, ไวรัส, สปายแวร์ และมัลแวร์ต่างๆ ใช้ช่องโหว่ของ Windows XP ที่ค้นพบหลังจากนี้เข้ามาทำการโจรกรรมหรือสร้างความเสียหายให้กับข้อมูลของผู้ใช้งานได้
  2. ไม่มีการสนับสนุนใดๆจาก Microsoft อีกต่อไป จากที่เคยมีการสนับสนุนช่วยเหลือผู้ใช้งานผ่านระบบออนไลน์และทางโทรศัพท์ หลังจากนี้ผู้ใช้งานจะไม่สามารถขอรับการสนับสนุนผ่านช่องทางนี้ได้
  3. ความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ลดลง บริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ต่างๆ เริ่มยุติการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ต่างๆของตนที่ทำงานบน Windows XP และฮาร์ดแวร์ที่ออกมาสู่ท้องตลาดใหม่ๆ ก็เริ่มจะไม่ Support Windows XP แล้ว

ดังนั้นผู้ใช้งานหรือองค์กรใดที่มี Windows XP อยู่ จึงควรคำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมาในอนาคต สำหรับองค์กรใดที่จำเป็นต้องใช้ Windows XP ต่อไป อาจมีเหตุผลเนื่องมาจากระบบงานมีความจำเป็นต้องใช้ Windows XP สามารถทำตามคำแนะนำดังนี้

  1. อัพเดท Windows Security Patch ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด
  2. อัพเดท ซอฟท์แวร์ต่างๆ ที่ติดตั้งอยู่ในเครื่องให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด
  3. ติดตั้งซอฟท์แวร์ Antivirus และทำการอัพเดทให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด
  4. ใช้ Google Chrome หรือ Firefox แทน Internet Explorer

อย่างไรก็ตาม องค์กรควรมีแผนการเปลี่ยนจาก Windows XP เป็นระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่ๆ เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลภายในองค์กรเอง

ข้อมูลเพิ่มเติม

Infographic: ระบบ IT ของคุณมีความปลอดภัยแค่ไหน?

ForeScout Technologies

 

Infographic เรื่อง “How Good is Your IT Security?” หรือ “ระบบ IT ของคุณมีความปลอดภัยแค่ไหน?” แสดงให้เห็นถึงภัยคุกคามทางด้านระบบเครือข่ายที่มาจาก Endpoint ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น PC และอุปกรณ์พกพา (Mobile Device) ที่นับวันจะมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ องค์กร โดยระบบรักษาความปลอดภัยที่สามารถตอบโจทย์นี้ได้หลักๆ ก็คือ Network Access Control หรือ NAC นั่นเอง โดยจากการศึกษาจากหัวหน้าทีมรักษาความปลอดภัยเครือข่ายจาก 763 องค์กร พบว่ามีการเลือกใช้งาน Network Access Control แล้วมากถึง 64% และมีแผนจะลงทุนในระบบ Network Access Control อีกถึง 20% โดยสำหรับองค์กรที่มีนโยบายรักษาความปลอดภัยให้แก่อุปกรณ์พกพาต่างๆ นี้ ก็ได้เลือกใช้ Network Access Control ในการควบคุมดูแลรักษาความปลอดภัยให้อุปกรณ์พกพามากถึง 77% เลยทีเดียว

ในขณะเดียวกัน ForeScout CounterACT ระบบ Network Access Control ระดับ Leader ใน Gartner Magic Quadrant เองนี้ก็สามารถตอบโจทย์ได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการทำ Network Monitoring, Real-time Hardware/Software Inventory, Authentication, Authorization, PC Management, BYOD, MDM, IPS, Vulnerability Management, Patch Management และ Compliance Report ในอุปกรณ์เดียว โดยสำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม หรือต้องการทดสอบความสามารถของ ForeScout ก็สามารถติดต่อได้ทันทีที่บริษัท ทรูเวฟ ประเทศไทย จำกัด โทร 02-210-0969 หรืออีเมลล์มาที่  info@throughwave.co.th ครับ

สำหรับ Infographic เต็มๆ สามารถคลิกดูได้ที่ด้านล่างนี้ทันทีครับ

Forescout_infographic

ForeScout ถูกจัดให้เป็น Leader ของ Gartner Magic Quadrant ของ Network Access Control ปี 2013

ForeScout Technologies

 

ForeScout Technologies ผู้นำทางด้านเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยระบบเครือข่ายองค์กร ได้ถูกจัดให้เป็น Leader ทางด้านระบบ Network Access Control ใน Gartner Magic Quadrant 2013 ซึ่งนับเป็นการได้รับตำแหน่ง Leader นี้มาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 แล้ว

 

gartner 2013 nac forescout

 

สำหรับการจัดอันดับ Gartner Magic Quadrant ในปี 2013 นี้ ทาง Gartner ได้มีการพูดถึงสองประเด็นหลักๆ ด้วยกัน โดยประเด็นแรกเป็นเรื่องของการที่ระบบ Network Access Control ควรจะควบคุมได้ไปถึงการทำ Mobile Device Management หรือ MDM ซึ่ง ForeScout เองนอกจากจะมีโซลูชั่น MDM ของตัวเองแล้ว ForeScout ยังสามารถทำการ Integrate เข้ากับระบบ MDM ของ 3rd Party เกือบทุกเจ้าที่อยู่ใน Leader ของ Magic Quadrant ได้อีกด้วย

 

สำหรับอีกประเด็นที่ถูกกล่าวถึงก็คือการ Integrate ระบบ NAC เข้ากับเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น Next-Generation Firewall (NGFW) หรือ Security Information and Event Management (SIEM) ซึ่ง ForeScout เองได้ตอบรับโจทย์ข้อนี้เป็นอย่างดีด้วย Feature ใหม่ล่าสุดภายใต้ชื่อ ControlFabric ที่มี API สำหรับเชื่อมต่อให้อุปกรณ์ 3rd Party ยี่ห้อใดๆ ก็สามารถทำงานร่วมกับ ForeScout ได้ และในทางกลับกัน ForeScout ก็มีความสามารถในการเขียนอ่าน SQL Database เพื่อดึงข้อมูลจากระบบงานใดๆ ก็ตามมาใช้ในเงื่อนไขหรือผลลัพธ์ของนโยบายรักษาความปลอดภัยได้เช่นกัน

 

สำหรับข้อดีของ ForeScout CounterACT ที่ทาง Gartner กล่าวถึงเป็นจุดแข็ง มีด้วยกัน ดังต่อไปนี้
  • สามารถ Integrate กับอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยใดๆ ก็ได้ผ่านทาง ControlFabric
  • มีกลยุทธ์ทางด้านการรักษาความปลอดภัยอุปกรณ์พกพาที่เข้มแข็ง ไม่ว่าจะเป็น BYOD หรือ MDM
  • ติดตั้งง่าย ออกแบบนโยบายรักษาความปลอดภัยได้ยืดหยุ่น และมองเห็นระบบเครือข่ายได้ทุกส่วน
  • เป็นผู้ผลิตระบบ NAC ที่เคยติดตั้งระบบ NAC ที่ใหญ่ที่สุดหรือใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลกมาหลายราย

 

โดยนอกจากการเป็น Leader ใน Gartner Magic Quadrant 2013 แล้ว ในปี 2013 ที่ผ่านมานี้ ForeScout ก็ได้รับรางวัลอื่นๆ มาอีกมากมาย ได้แก่
  • Being named by Frost & Sullivan as the sole market contender in NAC
  • SC Magazine 5-star, “Best Buy” rating and Innovator Award
  • Government Security News Best Network Security
  • GovTek Best Mobile Solution
  • CRN Channel Chief Award
  • InfoSecurity Global Excellence Award
  • McAfee Partner of the Year

 

สำหรับผู้ที่สนใจอยากทดสอบอุปกรณ์ ForeScout CounterACT หรืออยากเป็น Partner ร่วมงานกัน ทางทีมงาน Throughwave Thailand ในฐานะของตัวแทนจำหน่าย ForeScout ยินดีเป็นอย่างยิ่ง โดยท่านสามารถติดต่อมาได้ที่ 02-210-0969 หรือส่งอีเมลล์มาที่ info@throughwave.co.th เพื่อสอบถามข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ จากทีมงานวิศวกรโดยตรงได้ทันที

 

ที่มา: www.throughwave.co.th

การมาของเทคโนโลยีสตูดิโอเสมือน (3D Virtual Studio) ในประเทศไทย กับการใช้งานภายในองค์กร

สำหรับเทคโนโลยีหนึ่งที่น่าจับตามองที่สุดในปี 2014 นี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นระบบสตูดิโอเสมือน หรือที่เรียกกันว่าระบบ 3D Virtual Studio นั่นเอง ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกัน ว่าระบบสตูดิโอเสมือนนี้ทำงานอย่างไร และในประเทศไทยตอนนี้มีการประยุกต์เทคโนโลยีนี้ไปใช้งานภายในองค์กรอย่างไรบ้าง

1. ระบบสตูดิโอเสมือน 3D Virtual Studio คืออะไร

ระบบสตูดิโอเสมือน คือ ระบบห้องส่งเสมือน ที่นำภาพฉาก 3 มิติมาใช้แทนฉากจริง เพื่อใช้ในการถ่ายทำรายการต่างๆ ได้อย่างทันสมัย สมจริง และประหยัดค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงฉากหลัง รวมถึงยังสามารถใช้ถ่ายทำรายการหลากหลายรายการได้ในเวลาเดียวกันอีกด้วย
ในระบบสตูดิโอเสมือนนี้ พิธีกรผู้ดำเนินรายการจะถ่ายทำรายการอยู่ภายในห้องที่เป็นฉากสีเขียว เพื่อให้ระบบ 3D Virtual Studio สามารถตัดภาพของพิธีกรเพื่อไปซ้อนในฉาก 3 มิติได้ โดยเมื่อพิธีกรเคลื่อนที่ไปมาภายในฉากสีเขียวนี้ ระบบ 3D Virtual Studio ก็จะทำการจำลองให้เสมือนว่าพิธีกรกำลังเดินอยู่ในฉากจริงๆ พร้อมทั้งจำลองแสงเงาให้มีความสมจริงยิ่งขึ้นอีกด้วย

2. การนำระบบสตูดิโอเสมือนไปใช้งานภายในองค์กร

ระบบสตูดิโอเสมือนนี้มีหน่วยงานต่างๆ นำไปประยุกต์ใช้งานกันหลากหลาย ดังนี้

2.1 ช่องโทรทัศน์ และสตูดิโอถ่ายทำรายการ

เนื่องจากการประมูล Digital TV ที่กำลังจะมีขึ้นนี้ ทำให้ช่องโทรทัศน์ต่างๆ ต้องมองหาทางเลือกในการผลิตรายการที่ทั้งดึงดูดใจผู้ชมไปพร้อมๆ กับประหยัดต้นทุน เทคโนโลยี 3D Virtual Studio ซึ่งมีทั้งความทันสมัยและใช้งานร่วมกันได้หลายๆ รายการในการลงทุนเพียงครั้งเดียว จึงกลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งไปในตอนนี้ รวมถึงธุรกิจการเปิดห้องสตูดิโอเสมือนสำหรับให้เช่า ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับการจับตามองเป็นอย่างมาก

2.2 มหาวิทยาลัย

สำหรับคณะนิเทศศาสตร์ในทุกๆ มหาวิทยาลัย ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับการผลิตรายการโดยตรงนั้น เทคโนโลยี 3D Virtual Studio ถือเป็นเทคโนโลยีที่ขาดไม่ได้ในการใช้ประกอบการเรียนการสอน เพื่อให้นิสิตนักศึกษาได้มีความรู้ความเข้าใจในตัวเทคโนโลยี เพื่อตอบรับต่ออุตสาหกรรมบันเทิงที่มีการใช้งานเทคโนโลยีนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะเดียวกัน คณะมัลติมีเดียของมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็ให้ความสนใจกับเทคโนโลยีสตูดิโอเสมือนนี้เช่นกัน เนื่องจากผลงาน 3 มิติต่างๆ ที่สร้างขึ้นมานั้น สามารถนำมาใช้งานในระบบสตูดิโอเสมือนได้ เป็นการเตรียมพร้อมเพื่อสร้างคนสำหรับตลาดการสร้างฉากเสมือนให้แก่รายการต่างๆ นั่นเอง
นอกจากนี้มหาวิทยาลัยที่มีการผลิตสื่อการเรียนการสอนทางไกล ก็สามารถนำเทคโนโลยี 3D Virtual Studio ไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากสามารถนำสื่อประเภทอื่นๆ เช่น PowerPoint Presentation, Video Clip หรือแม้แต่ Website มาแสดงผลในฉากหลังเพื่อเสริมความเข้าใจในเนื้อหาต่างๆ ได้อย่างดียิ่งขึ้นอีกด้วย

2.3 องค์กรขนาดใหญ่

สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีการผลิตสื่อเพื่อใช้ภายใน เช่น การฝึกอบรม, การส่งข่าวสาร การนำเทคโนโลยี 3D Virtual Studio มาใช้งานก็จะทำให้การสื่อสารเป็นไปได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น เนื่องจากสามารถนำสื่ออื่นๆ มาแสดงลงในเนื้อหาได้ทันที อีกทั้งยังสามารถลดความจำเจในการนำเสนอเรื่องราวต่างๆ ได้จากการเปลี่ยนฉากหลัง 3 มิติเสมือนได้ รวมถึงมีอายุการใช้งานของระบบที่ยาวนาน ทำให้การนำเทคโนโลยี 3D Virtual Studio มาใช้งานในระดับองค์กร เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด

3. Radical Angle: ระบบสตูดิโอเสมือนล่าสุดสำหรับองค์กร

Radical Angle ผู้ผลิตระบบ 3D Virtual Studio ภายใต้ชื่อ RadStudio สามารถตอบสนองต่อความต้องการเหล่านี้ได้ด้วยเทคโนโลยี Next Generation Virtual Set เพื่อให้ผู้ผลิตรายการสามารถสร้างฉากต่างๆ ที่มีความน่าตื่นตาตื่นใจได้อย่างต่อเนื่อง ไปพร้อมๆ กันการลดต้นทุนในการสร้างฉากต่างๆ สำหรับถ่ายทำรายการ อีกทั้งยังเปิดโอกาสใหม่ๆ ในการสร้างสรรค์การโฆษณารูปแบบใหม่ๆ ในรายการต่างๆ ได้อีกด้วย ซึ่งทาง Throughwave Thailand ร่วมกับ Radical Angle สร้างห้องสตูดิโอเสมือน Virtual Studio ณ อาคารพญาไท (Phayathai Building) ถนนพญาไท กรุงเทพมหานคร สำหรับให้บริการทดลองใช้งาน

แผนที่สตูดิโอ Demo ของ Radical Angle ร่วมกับ Throughwave Thailand

สำหรับใครที่สนใจระบบ 3D Virtual Studio จาก Radical Angle สามารถติดต่อบริษัททรูเวฟ ประเทศไทย จำกัด ได้ที่ 02-210-0969 หรืออีเมลล์มาที่ info@throughwave.co.th เพื่อขอรับรายละเอียดเพิ่มเติมต่างๆ ได้ทันที
ที่มา: www.throughwave.co.th

แนะนำ Supermicro MicroCloud ระบบแม่ข่ายประสิทธิภาพสูง สำหรับ Cloud และ ISP โดยเฉพาะ

Supermicro MicroCloud เป็นหนึ่งในรุ่นที่ได้รับความสนใจสูงสุดนับตั้งแต่เปิดตัวมา โดย MicroCloud นี้จะเป็นระบบแม่ข่ายแบบ Blade ขนาดเล็ก โดยใช้พื้นที่สูงเพียง 3U เท่านั้น แต่สามารถบรรจุ Blade Server ได้ตั้งแต่ 8 – 24 เครื่อง ซึ่งด้วยปริมาณของ Server มากขนาดนี้ในพื้นที่เพียงเท่านี้ เป็นจุดเด่นสูงสุดที่ทำให้ MicroCloud ได้รับความนิยมนั่นเอง
สำหรับการแบ่งรุ่นของ Supermicro MicroCloud นั้น จะแบ่งตามรุ่น CPU และจำนวน Server ดังนี้

1. CPU Intel E5-2600 (8 Nodes)

 
เหมาะสำหรับระบบ Cloud ที่ต้องการ RAM จำนวนมาก โดยแต่ละ Node สามารถมี CPU ได้สูงสุด 1 Socket จำนวน 8 Cores หน่วยความจำสูงสุด 128GB และ Disk SATA 3.5″ Hot Swap จำนวน 2 ลูก

2. CPU Intel E3 (8/12/24 Nodes)

เหมาะสำหรับระบบ Cloud ที่เน้นการใช้งาน CPU เป็นหลักในราคาประหยัด โดยแต่ละ Node สามารถมี CPU ได้สูงสุด 1 Socket จำนวน 4 Cores หน่วยความจำสูงสุด 32GB และ Disk SATA 3.5″ จำนวน 2 ลูก หรือ 2.5″ จำนวน 4 ลูก

3. CPU AMD Opteron 3000 (12 Nodes)

เหมาะสำหรับระบบ Cloud ที่เน้นการใช้งาน CPU โดยไม่เน้นเรื่องหน่วยความจำ โดยแต่ละ Node สามารถมี CPU AMD ได้สูงสุด 1 Socket จำนวน 8 Cores หน่วยความจำสูงสุด 32GB และ Disk SATA 3.5″ จำนวน 2 ลูก หรือ 2.5″ จำนวน 4 ลูก
โดย Software ระบบ Cloud ที่แนะนำ จะเป็นระบบที่ใช้งาน Hypervisor ตระกูล Microsoft, KVM และ Xen เป็นหลัก เนื่องจาก 3 ตระกูลนี้สนับสนุนการใช้งานร่วมกับ Hardware ที่หลากหลายกว่า และมีค่าลิขสิทธิ์ที่เหมาะสมกับการใช้งานบน Server จำนวนมากเช่นนี้
ในขณะเดียวกัน ในเมืองไทยเองก็ยังมีการประยุกต์นำ MicroCloud ไปใช้ในระบบ Render Farm เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายต่อ CPU ที่ประหยัด และยังใช้พื้นที่บนตู้ Rack น้อยอีกด้วย
สำหรับผู้ที่สนใจระบบ Supermicro MicroCloud สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ info@throughwave.co.th หรือโทร 02-210-0969 เพื่อขอคำปรึกษาจากวิศวกรได้ทันที
ที่มา www.throughwave.co.th

แนะนำ Supermicro FatTwin ระบบ Server สำหรับงาน Cluster และ Render Farm โดยเฉพาะ

Supermicro เป็นผู้ผลิต Server เฉพาะทางสำหรับงานต่างๆ มากมาย และในวันนี้ทางทีมงานเราก็จะขอแนะนำ Supermicro FatTwin ซึ่งเป็นระบบ Server ที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับงาน Cluster สำหรับการประมวลผลประสิทธิภาพสูง และ Render Farm สำหรับการประมวลผลงานทางด้านกราฟฟิคโดยเฉพาะ

1. FatTwin หน้าตาเป็นอย่างไร?

FatTwin เป็น Blade Server ขนาดสูง 4U ติดตั้งบนตู้ Rack มาตรฐานขนาด 19 นิ้วได้ โดยด้านหน้าจะมี Server ภายในบรรจุอยู่ 4 เครื่อง หรือ 8 เครื่อง แล้วแต่รุ่น ส่วนด้านหลังของ FatTwin จะเป็นระบบระบายความร้อน (Cooling System) และระบบจ่ายพลังงาน (Power Supply) ซึ่งสามารถทำงานทดแทนกันได้ (Redundant) อย่างสมบูรณ์
จุดที่แตกต่างจาก Blade Server ทั่วๆ ไปคือ FatTwin จะไม่มี Management Module แบบศูนย์กลาง เนื่องจาก Server แต่ละเครื่องจะสามารถถูกบริหารจัดการได้ผ่านทาง IPMI ซึ่งรองรับทั้งการทำ Remote KVM และ Mount Virtual Media ผ่านทาง Network ได้อยู่แล้ว รวมถึงไม่มี Switch Module อีกด้วย ทำให้การลงทุนระบบ FatTwin ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าการลงทุนเป็น Blade Server นั่นเอง

2. จุดเด่นของ FatTwin

ในแง่ของ Hardware นั้น ระบบ FatTwin มี Server ให้เลือกหลากหลาย เหมาะกับงานเฉพาะทางแต่ละแบบ เช่น

2.1 Storage Node

เป็น Node ที่สามารถใส่ Hard Drive ได้เยอะเป็นพิเศษกว่า Server ทั่วๆ ไป เช่น ติดตั้ง Hard Drive ขนาด 3.5″ ได้ 12 – 14 ลูกต่อ 1U โดยสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ Hardware RAID หรือใช้ Software RAID ตามประเภทของ Storage Software ที่จะใช้งาน เหมาะสำหรับระบบงานที่ต้องการจัดเก็บข้อมูลเป็นปริมาณมาก เช่น Storage, Video Streaming, Apache Hadoop

2.2 Front IO Node

เป็น Node ที่มี Interface ต่างๆ ทั้งหมดอยู่ด้านหน้า ไม่ว่าจะเป็น Network, IPMI, USB หรือ PCI-E เพื่อให้การเข้าไปดูแลรักษา หรือปรับแต่งการเชื่อมต่อสามารถทำได้โดยสะดวกจากด้านหน้าเครื่องทันที เหมาะสำหรับธุรกิจ Hosting และ ISP โดยเฉพาะ

2.3 GPU Node

เป็น Node ที่สามารถใส่การ์ด GPU และ MIC เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลต่างๆ ได้ โดยในแต่ละ Node สามารถใส่การ์ดเหล่านี้ได้มากถึง 3-4 การ์ดต่อพื้นที่เพียง 1U ซึ่งถือว่ามากกว่า Server ทั่วๆ ไปอยู่มาก
แต่ไม่ว่าจะเป็น Node ใดก็ตาม สิ่งที่ถือเป็นจุดเด่นที่สุดของ FatTwin เลยนั้นคือเรื่องของการประหยัดพลังงานนั่นเอง โดยจากการทดสอบการใช้งานเปรียบเทียบกับ Server รุ่นประหยัดไฟพิเศษของคู่แข่ง พบว่า Supermicro FatTwin สามารถช่วยประหยัดพลังงานได้กว่ารุ่นที่ดีที่สุดของคู่แข่งถึง 16% เลยทีเดียว

3. ใครเหมาะสมกับการเลือกใช้ FatTwin?

 
ผู้ที่เหมาะกับระบบ FatTwin คือผู้ที่ต้องการระบบที่มีคุณสมบัติดังนี้
3.1 ต้องการลงทุนใน Server เป็นจำนวนมาก โดยไม่ได้ต้องการ Switch หรือ Management แบบ Blade Server
3.2 ต้องการการใช้งาน CPU เพื่อประมวลผลแบบ 24×7
3.3 ต้องการระบบที่มีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลเยอะเป็นพิเศษ
3.4 ต้องการประหยัดพื้นที่บนตู้ Rack
3.5 ต้องการระบบที่ประหยัดไฟฟ้า
ซึ่งสรุปจากข้างต้นนี้ เรียกได้ว่างาน High Performance Computing และงาน Render Farm ทั้งหมด เมื่อเปลี่ยนมาใช้ FatTwin แทนแล้ว จะช่วยลดต้นทุนในการจัดซื้อและดูแลรักษาไปได้มากทีเดียว
สำหรับผู้ที่สนใจ Supermicro FatTwin สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ info@throughwave.co.th หรือโทร 02-210-0969 ได้ทันที
ที่มา www.throughwave.co.th

การสร้างระบบห้องสตูดิโอเสมือนให้มีความสมจริง

ทุกวันนี้ระบบ Digital TV และ TV ออนไลน์มีแนวโน้มเติบโตที่สูงมาก เทคโนโลยีต่างๆ จึงได้ถูกนำมาใช้งานเพื่อเพิ่มคุณภาพในการถ่ายทอดรายการ ซึ่งเทคโนโลยีหนึ่งที่ได้รับความนิยมสูงสุดในเวลานี้ก็คือเทคโนโลยีระบบสตูดิโอเสมือนนั่นเอง (Virtual Studio)
ระบบสตูดิโอเสมือน (Virtual Studio) จะทำการจำลองฉากถ่ายทำรายการเสมือนขึ้นมาสำหรับรายการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นห้องส่งสำหรับรายการข่าวหรือรายการอื่นๆ เพื่อให้ผู้กำกับสามารถปรับแต่งและแก้ไขฉากสำหรับแต่ละรายการได้อย่างอิสระตามจินตนาการ อีกทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการปรับแต่งฉากสำหรับรายการเหล่านั้นอีกด้วย เทคโนโลยีสตูดิโอเสมือนนี้จึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

จะสร้างห้องส่งเสมือนที่มีความสมจริงได้อย่างไร?

ในปัจจุบัน คำถามว่าเราควรจะเลือกใช้เทคโนโลยีสตูดิโอเสมือนจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องหรือไม่นั้น สิ่งแรกที่ผู้กำกับมักจะคำนึงถึงก่อนก็คือความสมจริงของระบบสตูดิโอเสมือนนั่นเอง เนื่องจากเทคโนโลยีของการซ้อนฉากหลังลงไปแทนที่ฉากเขียว หรือเรียกว่าการทำ Chroma Key ในอดีตที่ผ่านมานั้น มักจะไม่สมจริง และส่งผลให้ภาพที่ออกมานั้นเหมือนกับว่าพิธีกรลอยออกมาจากฉากหลัง 3 มิติเสมือนนั่นเอง
RadStudio ได้ทำการเสริมความสมจริงเข้าไปในการใช้งานฉากหลัง 3 มิติเสมือนนี้ ด้วยการใช้เทคโนโลยีเงาเสมือน เพื่อสร้างเงาให้กับพิธีกรและวัตถุต่างๆ ในฉาก ไม่ว่าจะเป็นเงาบนพื้นด้าน หรือเงาสะท้อนบนพื้นใส ส่งผลให้ผลลัพธ์ของระบบสตูดิโอเสมือนที่ออกมานั้นดูมีมิติสมจริงยิ่งขึ้นนั่นเอง

เงานั้นสำคัญอย่างไร?

เงาเป็นสิ่งที่เชื่อมวัตถุต่างๆ เข้ากับฉากเสมือน 3 มิติ ทำให้ผู้ชมสามารถรับรู้มิติของสิ่งต่างๆ ในฉากเสมือนได้อย่างรวดเร็วและสมจริงยิ่งขึ้น รวมถึงยังทำให้พิธีกรและวัตถุเสมือน 3 มิติดูเหมือนว่าอยู่ในสถานที่เดียวกันจริงๆ อีกทั้งเมื่อเงามีการเปลี่ยนแปลงตามการขยับตัวของพิธีกรหรือวัตถุเสมือนเหล่านั้นได้ ภาพผลลัพธ์จากระบบห้องสตูดิโอเสมือนก็จะยิ่งดูมีความสมจริงยิ่งขึ้นไปอีก
RadStudio มีเอฟเฟ็คต์เงาที่ยืดหยุ่นและใช้งานง่าย โดยคุณสามารถใส่เงาให้กับสิ่งต่างๆ ในฉากเสมือน 3 มิติ และเลือกมุมของเงา และความเข้มของเงาได้อย่างอิสระผ่านทางซอฟต์แวร์บริหารจัดการห้องสตูดิโอเสมือนได้ทันที
สำหรับผู้ที่สนใจอยากทดลองใช้งานระบบสตูดิโอเสมือน RadStudio จาก Radical Angle ก็สามารถติดต่อบริษัท Throughwave Thailand ที่เบอร์ 02-210-0969 หรืออีเมลล์ info@throughwave.co.th เพื่อขอเข้าทดลองใช้งานได้ที่ห้อง Demo Studio ของเราบริเวณรถไฟฟ้าอนุสาวรีย์ได้ทันที

การสร้างห้องถ่ายทำรายการเสมือนด้วยเทคโนโลยี 3D Virtual Studio จาก Radical Angle

ทุกวันนี้ธุรกิจการแพร่ภาพออกอากาศ (Broadcasting) ถือเป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมสูง เนื่องจากแนวโน้มของการนำเทคโนโลยี Digital TV และ Online Channel เข้ามาใช้ได้มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและเป็นที่แพร่หลาย ทำให้ปัจจุบันการดำเนินธุรกิจผลิตรายการต่างๆ (Content Provider) เป็นที่นิยมไปด้วยเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น การแข่งขันทางด้านการผลิตรายการต่างๆ ให้มีความน่าสนใจและแปลกใหม่จึงเป็นไปอย่างดุเดือด  และส่งผลให้เกิดความพยายามในการสร้างสรรค์รายการในรูปแบบใหม่ๆ และลดต้นทุนการผลิตรายการต่างๆ ลงอย่างต่อเนื่อง เทคโนโลยี Virtual Set หรือ Virtual Studio ที่ทำให้เจ้าของรายการสามารถรังสรรค์ฉากของรายการต่างๆ ออกมาได้จากจินตนาการและมีต้นทุนต่ำจึงได้กลายเป็นทางเลือกหลักสำหรับการถ่ายทำรายการในยุคปัจจุบัน

Radical Angle ผู้ผลิตระบบ 3D Virtual Studio ภายใต้ชื่อ RadStudio สามารถตอบสนองต่อความต้องการเหล่านี้ได้ด้วยเทคโนโลยี Next Generation Virtual Set เพื่อให้ผู้ผลิตรายการสามารถสร้างฉากต่างๆ ที่มีความน่าตื่นตาตื่นใจได้อย่างต่อเนื่อง ไปพร้อมๆ กันการลดต้นทุนในการสร้างฉากต่างๆ สำหรับถ่ายทำรายการ อีกทั้งยังเปิดโอกาสใหม่ๆ ในการสร้างสรรค์การโฆษณารูปแบบใหม่ๆ ในรายการต่างๆ ได้อีกด้วย

 

0) ปัญหาของการถ่ายทำรายการแบบเดิม

ปัจจุบันการถ่ายทำรายการแบบเดิมที่มีการสร้างฉากจริงสำหรับการถ่ายทำนั้น นอกจากจะมีต้นทุนในการสร้างและมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาที่สูงแล้ว ยังมีข้อจำกัดทางด้านการแสดงข้อมูลต่างๆ ให้ทางผู้ชมเข้าใจง่าย ไม่ว่าจะเป็นกราฟ หรือ คลิปวิดีโอ อีกทั้งยังไม่สามารถปรับแต่งฉากให้เข้ากับเหตุการณ์ปัจจุบัน หรือมีความหวือหวาเพื่อดึงดูดผู้ชมได้บ่อยๆ อีกด้วย  ทำให้ข้อจำกัดของการถ่ายทำรายการต่างๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากมีความยืดหยุ่นต่ำ และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเสมอๆ

 

1) Radical Angle คือใคร?

Radical Angle เป็นผู้ผลิตระบบ 3D Virtual Set Solution จากประเทศสหรัฐอเมริกาภายใต้ชื่อผลิตภัณฑ์ Rad Studio ซึ่งเป็นระบบสตูดิโอเสมือนแบบครบวงจรสำหรับการถ่ายทำรายการในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดสด (Live Broadcast) และการตัดต่อย้อนหลัง (Post Production) โดยใช้เทคโนโลยี Chroma Key เพื่อให้เราสามารถสร้างสรรค์ฉากหลังจากซอฟต์แวร์สามมิติต่างๆ ได้อย่างอิสระ ส่งผลให้สตูดิโอเสมือนเพียงห้องเดียวสามารถใช้ถ่ายทำรายการต่างๆ ได้หลากหลายรายการ หรือมีหลากหลายฉากภายในรายการเดียวกันได้อย่างง่ายดาย โดยการนำเทคโนโลยี Visual Robotic Technology และเทคโนโลยี 3D Virtual Set ที่พัฒนาขึ้นเองมาประยุกต์ใช้ ทำให้ RadStudio มีความสมจริงสูง มีสามารถที่หลากหลาย ยืดหยุ่น และประหยัดค่าใช้จ่ายกว่าระบบ Virtual Set อื่นๆ เป็นอย่างมาก

สำหรับในประเทศไทย บริษัททรูเวฟ ประเทศไทย จำกัด (Throughwave Thailand) ได้เป็นตัวแทนจำหน่าย Radical Angle ในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว โดยทางบริษัททรูเวฟ ประเทศไทย จำกัดจะเป็นผู้ให้บริการและสนับสนุนทางเทคนิค รวมถึงจัดเตรียมระบบทดสอบสำหรับลูกค้าทุกรายที่ต้องการทดลองใช้ระบบงานก่อนทำการตัดสินใจซื้อด้วย

 

2) 3D Virtual Set Technology

เทคโนโลยี 3D Virtual Set คือเทคโนโลยีในการสร้างฉากสำหรับถ่ายทำรายการแบบเสมือน โดยใช้ฉาก 3 มิติซ้อนเข้าไปเป็นฉากหลังให้กับผู้ดำเนินรายการ ทำให้ผู้ผลิตรายการสามารถสร้างฉากใหม่ๆ หรือปรับแต่งฉากที่มีอยู่ได้ทันที รวมถึงมีกล้องถ่ายทำเสมือน (Virtual Camera) สำหรับใช้ในการ Pan, Zoom, Tilt เพื่อให้ถ่ายทำได้จากมุมมองที่หลากหลาย โดยประเด็นที่ควรพิจารณาสำหรับการเลือกใช้งานระบบ 3D Virtual Set จึงมีดังนี้

 

2.1) ความสมจริง

ระบบ 3D Virtual Set ที่ดีควรจะต้องมีความสมจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้ผู้ชมทางบ้านไม่รู้สึกติดขัดในรายละเอียดต่างๆ ของฉาก ไม่ว่าจะเป็นการแสดงผลพิธีกรตามมุมกล้องต่างๆ, การปรับแสง, เงา, เงาสะท้อน, การแสดงฉากตามมุมกล้อง, การเคลื่อนไหวของกล้อง, ความกลมกลืนของพิธีกรและฉากหลัง และอื่นๆ อีกมากมาย

 

2.2) ความยืดหยุ่นในการใช้งาน

ระบบ 3D Virtual Set ควรจะต้องรองรับการใช้งานสำหรับการถ่ายทำรายการได้หลากหลายรูปแบบ และปรับเปลี่ยนมุมกล้องสำหรับแต่ละรายการได้อย่างหลากหลาย ดังนั้นความสามารถในการรองรับฉาก 3D ที่สร้างจากซอฟต์แวร์มาตรฐาน เช่น 3D Max, Maya หรือ Lightwave ได้จึงเป็นพื้นฐานสำคัญในการลดต้นทุนการผลิตฉากสำหรับแต่ละรายการ รวมถึงการที่สามารถปรับแต่งฉากได้ในขณะถ่ายทำก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่จะทำให้เกิดความคล่องตัวในการใช้งานของผู้กำกับ และการสนับสนุนมุมกล้องหรือการเคลื่อนที่กล้องที่หลากหลายก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้รายการมีสีสันและไม่น่าเบื่อ

นอกจากนี้การแสดงผลที่ตื่นตาตื่นใจมากกว่าการสร้างฉากจริง ก็ถือเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ 3D Virtual Set เป็นที่นิยม ไม่ว่าจะเป็นการแสดงผลกราฟแบบ 3D, การจำลองจอแสดงภาพขนาดใหญ่ในฉากพร้อมฉายภาพจากคลิปวิดีโอต่างๆ หรือแม้แต่การวางตัวแมสค็อตต่างๆ ให้เคลื่อนไหวอยู่ในรายการ ก็สามารถสร้างสีสันในรายการได้เป็นอย่างดี

 

2.3) ราคา

ระบบ 3D Virtual Set ควรจะมีราคาที่เหมาะสมและจับต้องได้ รวมถึงมีความคุ้มค่าในระยะยาวมากกกว่าการสร้างและดูแลรักษาฉากจริง เพื่อให้ระบบ 3D Virtual Set ช่วยลดต้นทุนในการถ่ายทำรายการต่างๆ และสร้างผลกำไรที่มากขึ้นให้แก่องค์กร

 

ทีมงาน Radical Angle ได้มีประสบการณ์ทางด้านระบบ 3D Virtual Set มาเป็นเวลานาน และเข้าใจในประเด็นต่างๆ เหล่านี้เป็นอย่างดี ดังนั้นระบบ 3D Virtual Set ภายในชื่อของ RadStudio จึงเป็นโซลูชันที่ตอบสนองโจทย์ทั้งสามประการนี้ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด

 

3.) RadStudio Solution

ระบบ RadStudio ซึ่งเป็น 3D Virtual Set จาก Radical Angle นี้ มีความสามารถที่หลากหลาย  และเหมาะสมต่อการนำไปใช้งานทั้งสำหรับห้องถ่ายทำรายการเสมือน, ห้องข่าวเสมือน รวมถึงห้องส่งเสมือนสำหรับการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย โดย RadStudio มีความโดดเด่นทางด้านการใช้งานจริงดังนี้

 

3.1) สมจริงด้วยเทคโนโลยี 3D Tracking

RadStudio มีระบบ 3D Tracking สำหรับใช้ติดตามตำแหน่งของพิธีกรหรือผู้สื่อข่าวในห้องถ่ายทำรายการเสมือน ดังนั้นเมื่อพิธีกรหรือผู้สื่อข่าวต้องมีการเคลื่อนที่ภายในฉาก หรือมีการซูมด้วยกล้องวิดีโอเพื่อเก็บอารมณ์ต่างๆ ภาพที่แสดงออกมาจะมีความสมจริง โดยระบบ RadStudio จะทำการคำนวนตำแหน่งของผู้ดำเนินรายการเพื่อประมวลผลว่าควรจะแสดงภาพของผู้ดำเนินรายการบนตำแหน่งไหนของฉากในมุมกล้องต่างๆ ให้เหมือนผู้ดำเนินรายการมีการเคลื่อนไหวจริงๆ ต่างจากระบบ Virtual Studio รายอื่นๆ ที่ไม่มีการทำ Tracking และทำให้สูญเสียความหลากหลายในการถ่ายทำรายการไป ทั้งการเคลื่อนที่ของพิธีกร และการประยุกต์ใช้งานมุมกล้องจริงให้มีความคมชัดยิ่งขึ้น

 

3.2) ประหยัดค่าใช้จ่ายด้วยเทคโนโลยี 3D Tracking แบบใหม่

Radical Angle มีเทคโนโลยีในการทำ 3D Tracking ในรูปแบบเฉพาะของตัวเอง ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีการติดตั้ง Hardware ตรวจจับต่างๆ มากมายในห้องส่ง แต่ใช้การประมวลผลจาก Computer ด้วยเทคโนโลยี Robotic Vision แบบเดียวกับที่มีในหุ่นยนต์แทน ทำให้การติดตั้งระบบ 3D Virtual Studio เป็นไปได้อย่างง่ายดาย ปรับแต่งได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังดูแลรักษาง่าย มีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าเทคโนโลยี 3D Tracking แบบเก่าๆ เป็นอย่างมาก

 

3.3) ใส่ใจในรายละเอียดเพื่อเพิ่มความสมจริง

RadStudio มีฟังก์ชั่นต่างๆ สำหรับปรับแต่งให้รายการเสมือนมีความสมจริงเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นระบบปรับแต่งความสว่าง/มืด, ระบบปรับแต่งแสง/เงา, ระบบปรับแต่งแสงสะท้อน, ระบบปรับแต่งมุมกล้องเสมือนอัตโนมัติ และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อให้รายการเสมือนมีความสมจริง และช่างกล้องสามารถทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้น รวมถึงให้ผู้กำกับรายการสามารถปรับแต่งทุกรายละเอียดได้ทันทีจากหน้าจอถ่ายทำ

 

3.4) คุ้มค่าด้วยความหลากหลาย

ห้องส่งเสมือน 3D Virtual Studio เพียงห้องเดียวของ RadStudio นี้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับรายการหลากหลายรายการภายในห้องเดียว รวมถึงสามารถรองรับฉากหลายๆ ฉากสำหรับแต่ละรายการได้อย่างครบถ้วน ทำให้การใช้งานห้องส่งเป็นไปได้อย่างคุ้มค่ายิ่งขึ้น ประหยัดค่าใช้จ่ายยิ่งกว่าการทำห้องถ่ายทำรายการจริงเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้สามารถเปิดระบบให้เช่าใช้งาน เพื่อรับรายได้เพิ่มเติมในยามที่ไม่ได้ใช้ห้องในการถ่ายทำรายการได้อีกด้วย

 

3.5) มีบริการให้คำปรึกษาและช่วยเหลือด้านการใช้ระบบ 3D Virtual Studio

นอกเหนือจากความโดดเด่นของตัวผลิตภัณฑ์แล้ว ทางทรูเวฟและ Radical Angle ยังมีบริการร่วมในการให้คำปรึกษาสำหรับผู้ที่จะติดตั้งใช้งานระบบ 3D Virtual Studio ให้สำเร็จลุล่วงอีกด้วย โดยทางทีมงานสามารถให้คำปรึกษาสำหรับการออกแบบฉาก, การเพิ่มเติมฟีเจอร์ต่างๆ ให้เหมาะสมกับรูปแบบของรายการ รวมถึงการสนับสนุนและอบรมฝึกสอนการใช้งานระบบ 3D Virtual Studio ให้ผู้กำกับและช่างกล้องสามารถใช้งานได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งตอนทดสอบและตอนใช้งานจริงใน Production ทันที รวมถึงหากในอนาคตอยากมีการนำห้องส่งเสมือนนี้ไปใช้งานเพิ่มเติม ทางทีมงานก็พร้อมจะช่วยเหลือต่อเนื่องไปเช่นกัน

 

3.6) มีห้อง 3D Virtual Studio ตัวอย่างให้ทดลองใช้งานก่อนตัดสินใจ

ทางบริษัททรูเวฟ ประเทศไทย จำกัด ร่วมกับ Radical Angle ได้ทำการสร้างห้องส่งเสมือน 3D Virtual Studio ขึ้นมาในกรุงเทพฯ ประเทศไทย เพื่อให้ผู้ที่สนใจในเทคโนโลยี 3D Virtual Studio นี้ได้มาทดลองใช้งานจริง, ทดสอบกับกล้องที่มีอยู่เดิม และได้เห็นผลลัพธ์กันจริงๆ ก่อนตัดสินใจจัดซื้อได้ เพื่อให้การตัดสินใจเป็นไปได้อย่างดีที่สุด และเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าอย่างสูงสุด โดยถ้าหากหน่วยงานใดสนใจ ก็สามารถติดต่อเข้ามานัดชมห้อง 3D Virtual Studio ได้ทันที

 

สำหรับใครที่สนใจระบบ 3D Virtual Studio จาก Radical Angle สามารถติดต่อบริษัททรูเวฟ ประเทศไทย จำกัด ได้ที่ 02-210-0969 หรืออีเมลล์มาที่ info@throughwave.co.th เพื่อขอรับรายละเอียดเพิ่มเติมต่างๆ ได้ทันที

 

ที่มา: www.throughwave.co.th

 

แนวทางการออกแบบนโยบายรักษาความปลอดภัย BYOD ด้วย Network Access Control

ปัจจุบันนี้ หลายๆ องค์กรในประเทศไทยกำลังประสบกับปัญหาในการบริหารจัดการทางด้านความปลอดภัยสำหรับอุปกรณ์ที่ผู้ใช้งานในองค์กรนำมาใช้เอง ไม่ว่าจะเป็น Notebook, Tablet หรือ Smart Phone ยี่ห้อต่างๆ  ในบางองค์กรก็มีปัญหาตั้งแต่ระดับของความไม่เพียงพอของระบบ Wireless LAN บางองค์กรอาจจะมีปัญหาตั้งแต่นโยบายในการควบคุมการใช้งานอุปกรณ์ส่วนตัวเหล่านี้ ซึ่งในภาพรวมของปัญหาเหล่านี้เรามีชื่อเรียกกันว่า BYOD หรือ Bring Your Own Device นั่นเอง และวันนี้ทางทีมงาน Throughwave Thailand จะมาสรุปแนวทางการออกแบบนโยบายรักษาความปลอดภัย BYOD ด้วย Network Access Control หรือ NAC ให้ทุกท่านได้นำไปปรับใช้กัน

 

1. มารู้จักกับคำศัพท์สำคัญๆ ก่อน

สำหรับการรักษาความปลอดภัยอุปกรณ์ต่างๆ ที่นำมาใช้ในองค์กร  Keyword ที่เรามักจะพบเห็นกันบ่อยๆ มีดังต่อไปนี้

 

1.1 Network Access Control – NAC

NAC คือระบบรักษาความปลอดภัยเครือข่าย โดยมุ่งเน้นไปที่การควบคุมการใช้งานเครื่องลูกข่ายและอุปกรณ์เครือข่ายทั้งหมดที่มี MAC Address และ IP Address ให้สามารถใช้งานระบบเครือข่ายได้ในระดับที่แตกต่างกันตามความปลอดภัยของอุปกรณ์นั้นๆ เช่น

  • ผู้ใช้งานในองค์กรอาจจะมีสิทธิ์ในการเข้าถึงเครื่องแม่ข่าย (Server) แตกต่างกันตามแผนกของตน และผู้ใช้งานที่เป็นบุคคลภายนอกจะไม่สามารถเข้าถึงเครื่องแม่ข่ายใดๆ ได้เลย
  • เครื่องลูกข่ายที่มีการติดตั้งซอฟต์แวร์และอัพเดต Anti-virus ตามที่กำหนด จะมีสิทธิ์ในการใช้งาน Protocol หรือเข้าถึงระบบงานต่างๆ ที่สูงกว่าเครื่องลูกข่ายที่ไม่ได้ติดตั้งซอฟต์แวร์ที่กำหนด หรือมี Anti-virus ที่ไม่อัพเดต
  • เครื่องลูกข่ายที่มีพฤติกรรมโจมตีเครือข่าย หรือติดไวรัส จะถูกตัดสิทธิ์ในการใช้งาน Protocol ที่มีความเสี่ยง เช่น FTP ออกไป รวมถึงสามารถมีการแจ้งเตือนผู้ที่ใช้งานเครื่องลูกข่ายเหล่านั้นได้ว่ามีการติดไวรัส และสั่งเรียกให้ซอฟต์แวร์ Anti-virus ทำงานเพื่อค้นหาและกำจัด Virus ทันที

โดยทั่วไปแล้ว NAC จะสามารถตรวจสอบเครื่องลูกข่ายทั้งหมดได้ในระดับของเครือข่าย (Network) และมีการแถมซอฟต์แวร์ Agent สำหรับการตรวจสอบเครื่องลูกข่ายมาตรฐานเช่น Windows, Mac, Linux มาให้ด้วย เพื่อให้แต่ละองค์กรสามารถออกแบบนโยบายการรักษาความปลอดภัยได้อิสระ และบังคับตรวจสอบในเชิงลึกระดับ Application และ Process ที่ใช้งานได้ทันที โดย NAC จะมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในการรักษาความปลอดภัยระบบเครือข่ายทั้งแบบมีสายและไร้สายไปพร้อมๆ กัน ทำให้ระบบเครือข่ายมีความปลอดภัยมากขึ้น และผู้ใช้งานไม่สับสนจากการเจอการยืนยันตัวตนที่หลากหลายในระบบเครือข่ายแบบเดิมๆ

นอกจากนี้ NAC ส่วนมากในทุกวันนี้จะมีความสามารถในการทำ BYOD พ่วงมาด้วยในตัว โดยบางยี่ห้อจะสามารถใช้งานได้ฟรีๆ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ในขณะที่บางยี่ห้อจะต้องเป็น Option เสริม ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม รวมถึงยังสามารถทำงานร่วมกับ MDM หลากหลายยี่ห้อได้อีกด้วย

 

1.2 Bring Your Own Device – BYOD

BYOD เป็นคำที่ใช้เรียกเมื่อในระบบเครือข่ายขององค์กรมีการนำอุปกรณ์ส่วนตัวเข้ามาใช้งานอย่างมีนัยยะสำคัญ ในบางองค์กรที่เมืองนอกอาจจะมีการเพิ่มเงินให้พนักงานเมื่อมีการนำ Notebook หรือ Smart Phone เข้ามาใช้งานเอง ทำให้องค์กรไม่ต้องจัดหาอุปกรณ์ทำงานเหล่านี้ให้ แต่ในขณะเดียวกันอุปกรณ์ที่นำมาใช้ก็จะต้องมีการปรับแต่งและบังคับให้มีรักษาความปลอดภัยต่างๆ ตามที่กำหนดด้วยเช่นกัน

สำหรับเมืองไทย การทำ BYOD หลักๆ คือการรักษาความปลอดภัยสำหรับอุปกรณ์ที่ผู้ใช้งานนำมาใช้เอง เช่น Notebook, Smart Phone, Tablet โดยจำกัดการใช้งานที่ระดับเครือข่าย โดยบังคับให้มีการยืนยันตัวตน และบังคับให้มีสิทธิ์ในการเข้าถึงระบบเครือข่ายน้อยกว่าการนำอุปกรณ์ขององค์กรมาใช้งาน รวมถึงในบางกรณียังมีการจำแนกประเภทของอุปกรณ์ เช่น Apple iPhone, Google Android หรือ Microsoft Windows Phone และกำหนดสิทธิ์ให้อุปกรณ์ต่างๆ มีสิทธิ์ในระดับที่แตกต่างกันอีกด้วย หรือบางกรณีก็อาจห้ามไม่ให้มีการใช้งานอุปกรณ์บางประเภทที่มีความเสี่ยงทางด้านความปลอดภัยในระดับสูงเลยก็เป็นได้

 

1.3 Mobile Device Management – MDM

MDM เป็นคำที่ใช้เมื่อต้องการที่จะควบคุมอุปกรณ์ Smart Phone และ Tablet ในเชิงลึก เช่น การตรวจสอบ Application ที่มีการติดตั้งและใช้งาน, การตรวจสอบการทำ Jailbreak หรือ Root, การบังคับห้ามใช้งานซอฟต์แวร์บางประเภท, การตรวจสอบสถานที่ของอุปกรณ์เหล่านั้น, การบังคับตั้งค่าการใช้งานของอุปกรณ์ให้มีความปลอดภัย, การบังคับลบข้อมูลสำคัญขององค์กร โดยทั่วไป MDM มักจะมีค่าใช้จ่ายต่ออุปกรณ์ที่มีการใช้งาน และสามารถควบคุมอุปกรณ์เหล่านั้นผ่านระบบเครือข่าย Public Internet หรือ 3G ได้ ทำให้ MDM เหมาะสมต่อการบังคับใช้งานอุปกรณ์ Smart Phone และ Tablet ที่เป็นทรัพย์สินขององค์กรแจกให้พนักงานใช้ทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้น ในขณะที่การบังคับใช้ MDM กับอุปกรณ์ที่พนักงานนำมาใช้เองนั้น จะทำให้องค์กรต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ในการใช้งาน MDM ไปเป็นจำนวนมาก และไม่สามารถควบคุมจำนวนของลิขสิทธิ์เหล่านั้นได้

 

2. ทางเลือกสำหรับนโยบายรักษาความปลอดภัย BYOD

แต่ละองค์กรเองต่างก็มีความจำเป็นในการรักษาความปลอดภัยในระดับที่แตกต่างกัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้

2.1 นโยบายรักษาความปลอดภัย BYOD แบบทั่วไป

สำหรับการรักษาความปลอดภัย BYOD แบบทั่วไป จะมีแนวทางดังนี้

  • PC/Notebook ขององค์กร – รักษาความปลอดภัยระดับสูงด้วย NAC พร้อมติดตั้ง Agent โดยให้สิทธิ์ในการเข้าถึงระบบงานขององค์กรได้ตามแผนกของผู้ใช้งานและใช้งาน Internet ภายนอกได้ภายหลังการยืนยันตัวตน
  • Notebook ส่วนตัว – รักษาความปลอดภัยระดับเครือข่ายด้วย NAC โดยสามารถติดตั้ง Agent แบบชั่วคราวเพื่อตรวจสอบเชิงลึก หรือไม่ติดตั้ง Agent ก็ได้ โดยให้สิทธิ์ในการเข้าถึงระบบงานพื้นฐานขององค์กรและใช้งาน Internet ภายนอกได้ภายหลังการยืนยันตัวตน เช่น ระบบ Email, เว็บไซต์ภายในองค์กร หรือระบบ Chat
  • Smart Phone/Tablet ขององค์กร – รักษาความปลอดภัยด้วย NAC พร้อม MDM Agent เพื่อตรวจสอบและควบคุมเชิงลึก และให้สิทธิ์ในการเข้าถึงระบบงานขององค์กรได้ตามแผนกของผู้ใช้งานภายหลังการยืนยันตัวตน
  • Smart Phone/Tablet ส่วนตัว – รักษาความปลอดภัยระดับเครือข่ายด้วย NAC โดยให้สิทธิ์ในการเข้าถึงระบบงานพื้นฐานขององค์กรและใช้งาน Internet ภายนอกได้ภายหลังการยืนยันตัวตน เช่น ระบบ Email, เว็บไซต์ภายในองค์กร หรือระบบ Chat

ข้อดี

  • ระบบมีความปลอดภัยสูง เพราะจำกัดสิทธิ์ของอุปกรณ์ส่วนตัวที่นำมาใช้งานแต่แรก
  • เข้าใจง่าย เนื่องจากพนักงานสามารถยอมรับได้ทันทีว่าอุปกรณ์ส่วนตัวจะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญขององค์กรได้ และไม่มีซอฟต์แวร์ MDM คอยรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของพนักงาน
  • ประหยัดค่าใช้จ่าย โดยมีค่าใช้จ่าย NAC ในระบบรวม และมีค่าใช้จ่าย MDM เฉพาะในส่วนของทรัพย์สินองค์กรเท่านั้น

ข้อเสีย

  • พนักงานไม่สามารถนำอุปกรณ์ส่วนตัวมาใช้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

2.2 นโยบายรักษาความปลอดภัย BYOD แบบเข้มงวด

สำหรับการรักษาความปลอดภัย BYOD แบบเข้มงวด จะมีแนวทางดังนี้

  • PC/Notebook ขององค์กร – รักษาความปลอดภัยระดับสูงด้วย NAC พร้อมติดตั้ง Agent โดยให้สิทธิ์ในการเข้าถึงระบบงานขององค์กรได้ตามแผนกของผู้ใช้งานและใช้งาน Internet ภายนอกได้ภายหลังการยืนยันตัวตน
  • Notebook ส่วนตัว – รักษาความปลอดภัยสูงด้วย NAC โดยบังคับติดตั้ง Agent แบบชั่วคราวเพื่อตรวจสอบเชิงลึก หรือไม่อนุญาตให้ใช้งาน Notebook ส่วนตัวเลยก็ได้ โดยให้สิทธิ์ในการเข้าถึงระบบงานพื้นฐานขององค์กร, ใช้งานบางระบบงานขององค์กรตามแผนกของผู้ใช้งาน และใช้งาน Internet ภายนอกได้ภายหลังการยืนยันตัวตน เช่น ระบบ Email, เว็บไซต์ภายในองค์กร หรือระบบ Chat
  • Smart Phone/Tablet ขององค์กร – รักษาความปลอดภัยด้วย NAC พร้อม MDM Agent เพื่อตรวจสอบและควบคุมเชิงลึก และให้สิทธิ์ในการเข้าถึงระบบงานขององค์กรได้ตามแผนกของผู้ใช้งานภายหลังการยืนยันตัวตน
  • Smart Phone/Tablet ส่วนตัว – รักษาความปลอดภัยด้วย NAC พร้อม MDM Agent เพื่อตรวจสอบและควบคุมเชิงลึก และให้สิทธิ์ในการเข้าถึงระบบงานพื้นฐานขององค์กร, ใช้งานบางระบบงานขององค์กรตามแผนกของผู้ใช้งานและใช้งาน Internet ภายนอกได้ภายหลังการยืนยันตัวตน เช่น ระบบ Email, เว็บไซต์ภายในองค์กร หรือระบบ Chat

ข้อดี

  • ระบบมีความปลอดภัยสูงมาก เพราะมีการตรวจสอบอุปกรณ์ที่นำมาใช้งานอย่างเข้มงวด และจำกัดสิทธิ์การเข้าใช้งานตามความเป็นเจ้าของของอุปกรณ์เหล่านั้น
  • พนักงานสามารถนำอุปกรณ์ส่วนตัวมาใช้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ข้อเสีย

  • มีค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากองค์กรต้องออกค่าใช้จ่ายสำหรับ MDM Agent ตามจำนวนของอุปกรณ์ส่วนตัวที่พนักงานนำมาใช้ และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเรื่อยๆ ตามจำนวนของอุปกรณ์ที่พนักงานนำมาใช้ หรือมีการเปลี่ยนใหม่โดยไม่แจ้งผู้ดูแลระบบ
  • มีการดำเนินการที่ยุ่งยาก เนื่องจากผู้ดูแลระบบต้องแบกรับภาระหน้าที่เพิ่มเติมในการแก้ปัญหาทางด้านการนำอุปกรณ์ส่วนตัวซึ่งมีความหลากหลายสูงมาใช้งาน รวมถึงการจัดการในการเพิ่มและลบอุปกรณ์ส่วนตัวออกจากระบบอีกด้วย
  • ไม่มีความเป็นส่วนตัว เนื่องจากอุปกรณ์ส่วนตัวของพนักงานจะต้องติดตั้ง MDM Agent ซึ่งคอยบังคับและจำกัดสิทธิ์ในการใช้งานซอฟต์แวร์ต่างๆ ในอุปกรณ์ส่วนตัว

 

3. สรุป

แต่ละองค์กรควรจะชั่งน้ำหนักความต้องการทางด้านความปลอดภัย, ภาระหน้าที่ และค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้เหมาะสมต่อความต้องการขององค์กร และเลือกกำหนดนโยบายรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมตามต้องการ

สำหรับท่านที่สนใจในโซลูชัน BYOD และ MDM ทางบริษัททรูเวฟ ประเทศไทย จำกัด มีโซลูชัน Automated Security Control จาก ForeScout ที่สามารถให้บริการได้ทั้ง NAC, BYOD และ MDM พร้อมๆ กันได้ รวมถึงสามารถช่วยในการบริหารจัดการเครื่องลูกข่าย (PC Management), ตรวจสอบระบบเครือข่าย (Network Monitoring), สร้างรายการคลังอุปกรณ์ (Inventory Management) รวมถึงตรวจจับและยับยั้งการโจมตีในเครือข่ายได้ (IPS and Advanced Threat Prevention) โดยสามารถติดต่อได้ที่ info@throughwave.co.th หรือโทร 02-210-0969 เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และนัดทดสอบระบบได้ทันที

———–

ที่มา https://www.throughwave.co.th

Ogren Group วิเคราะห์ตลาด Network Access Control (NAC) จะเติบโตปีละ 22% และมีมูลค่าถึง 1 พันล้านเหรียญภายในปี 2017

ผลการสำรวจจาก Ogren Group ได้ระบุในรายงานเกี่ยวกับการเติบโตของตลาด Network Access Control ว่าจะเติบโตมากถึงปีละ 22% และมีโอกาสที่จะทำได้รายมากกว่าปีละ 1 พันล้านเหรียญในปี 2017 รวมถึงหลังจากนั้น โดย ForeScout Technologies ผู้นำทางด้านระบบ Real-time Network Security ซึ่งมีฐานลูกค้ามากมายใน Fortune 1000 และบริษัทต่างๆ ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ได้ถูกกล่าวถึงในบทวิเคราะห์ของ Ogren ว่าเป็นหนึ่งในสามผู้นำหลักคู่กับ Cisco และ Juniper ที่จะได้รับส่วนแบ่งตลาดรวมกันมาถึง 70% จากปัจจุบันนี้ที่บริษัท ForeScout ได้เติบโตมากกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด โดยในปีล่าสุดนี้ ForeScout ได้เติบโตมากถึง 66% และมีฐานลูกค้าอยู่มากถึง 1,400 รายทั่วโลก

 

รายงานของ Ogren ยังได้กล่าวถึงปัจจัยหลายประการที่ส่งผลให้ตลาดเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี NAC โดยตรง ดังนี้

  • ความจำเป็นในการสอบทวนการรักษาความปลอดภัยเครือข่ายไปถึงระดับของอุปกรณ์พกพาและ Tablet อันสืบเนื่องมาจากแนวโน้มของการทำ Bring Your Own Device (BYOD) และ Choose Your Own Device (CYOD)
  • ความสามารถอันน่าตื่นตะลึงของอุปกรณ์ Tablet และ Mobile Device ที่อาจส่งผลต่อเครือข่ายและความปลอดภัย
  • ความจำเป็นที่จะต้องสามารถตรวจสอบเครือข่ายได้แบบ Real-time ซึ่งมองเห็นทุกอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเข้ามาภายในเครือข่าย รวมถึงบังคับใช้นโยบายรักษาความปลอดภัยไปยังอุปกรณ์เหล่านั้นทั้งหมด
  • ผู้บริหารทางด้านระบบสารสนเทศเริ่มตระหนักถึงการเกิดเหตุการณ์ทางด้านความปลอดภัยเครือข่ายที่ยังไม่สามารถตรวจจับได้พบ และเริ่มได้รับความสำคัญระดับต้นๆ ในการจัดการความเสี่ยง (Risk Management)
  • การเชื่อมต่อแบบไร้สายที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง
  • การบังคับตรวจสอบตามกฎหมาย เช่น PCI-DSS, ISO 27001, HIPAA และ COBIT
  • การเติบโตของอุปกรณ์ที่รองรับ 802.1X เพื่อทำการยืนยันตัวตนและควบคุมในระดับ Port-level

 

จากผลการสำรวจข้อมูลจากหลายองค์กร ในรายงานยังระบุอีกด้วยว่า “ForeScout ถูกจัดให้เป็นผู้ผลิตระบบ Network Access Control ที่ใหญ่ที่สุด และจะส่งผลกระทบต่อตลาดมากที่สุด เนื่องจาก ForeScout CounterACT นั้นมีความสามารถรอบด้าน อีกทั้งยังสามารถติดตั้งและบริหารจัดการได้ง่าย ทาง Ogren Group ขอแสดงความยินดีกับ ForeScout  สำหรับนวัตกรรมที่สร้างขึ้นมาในตลาด NAC นี้” และเพื่อเป็นการเน้นย้ำให้ตรงจุด ทางผู้วิเคราะห์ยังได้ชี้ถึงจำนวนของลูกค้าของ ForeScout ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก, ความสามารถในการเพิ่มขยายเพื่อรองรับความต้องการขององค์กรขนาดใหญ่ รวมถึงความเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยี, ความกว้างขวาง และ Channel Programs ที่เป็นสาเหตุของความสำเร็จในตลาด NAC

 

“BYOD, Cloud และ Mobile กำลังผลักดัน ForeScout และผู้ผลิต NAC ไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังขยายบทบาททางด้านการรักษาความปลอดภัยของ NAC  อีกด้วย” Gord Boyce ผู้เป็น CEO ของ ForeScout กล่าว “เมื่อระบบรักษาความปลอดภัยเดิมที่มีอยู่ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป และองค์กรพยายามที่จะยกระดับการรักษาความปลอดภัยเครอืข่าย  เทคโนโลยี NAC จะเป็นทางออกเดียวที่ช่วยให้สามารถตรวจสอบและควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ที่เข้ามาเชื่อมต่อและใช้งานเครือข่ายและข้อมูลขององค์กร ความต้องการจากตลาดเหล่านี้จะเป็นแรงผลักให้ ForeScout เติบโตไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง”

 

สำหรับใครที่ต้องการอ่านรายงานฉบับเต็ม สามารถอ่านได้ที่ https://blog.forescout.com/nac-ogren-report รวมถึงสามารถปรึกษาทีมงาน Throughwave และทดสอบอุปกรณ์ได้ทันที

 

ที่มา: www.throughwave.co.th